ฉันเกษียณอายุราชการมาหมาด ๆเมื่อเดือนก่อน  ชีวิตยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางนัก  แต่ก็แปลกใจตัวเองมากที่จู่ ๆ ลุกขึ้นมาในเช้าวันหนึ่งแล้วไม่ต้องทุกข์ทรมานกับการเดินทางขึ้นรถตู้  ต่อรถเมล์ นั่งรถมอเตอร์ไซค์อีกต่อไป  อ้อ ลืมบอกไป  ฉันเป็นสาวโสด พอเกษียณอายุแล้วก็ไม่มีอะไรจะทำจริง ๆ จึงเอาแต่รดน้ำต้นไม้  กับกวาดบ้าน  และแถมยังมาค้นพบเอาตอนอายุหกสิบนี่แล้วด้วยว่า  บ้านที่ผ่อนส่งกับการเคหะแห่งชาติมาตลอดชีวิตนี่มันรกอยู่ไม่เบา  ต้นว่านอะไรต่อมิอะไรที่แม่ของฉันปลูกเอาไว้ก่อนตาย ตอนนี้ก็งอกงามเขียวรกกันไปทั่วบ้าน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าต้นลิ้นงูเห่าที่แม่แซม ๆเอาไว้ข้างรั้ว  นัยว่ากันงูเห่า



  แม่ฉันตายไปเมื่อตอนอายุแปดสิบ  ฉันจึงหวังว่าจะอยู่ต่อไปอย่างน้อยก็อายุเท่าแม่   และก็หวังอยู่ลึก ๆว่าฉันจะมีคนรักรายล้อมเหมือนที่สังเกตว่าแม่เป็นเมื่ออยู่กับเพื่อนบ้าน  อาจเป็นเพราะแม่เป็นคนช่างพูด  เกษียณอายุแล้ว ฉันจึงพูดกับคนมากขึ้น  จนแทบจะเรียกได้ว่า  ใครเดินผ่านมา ฉันก็เป็นต้องทักทายเขาไปหมด แม้แต่เด็กนักเรียนตัวเล็ก ๆ ที่ฉันต้องถามเสมอว่า “หนูไปโรงเรียนแถวไหน  พ่อแม่ทำอะไร” จนวันหนึ่งเกือบจะเจอดี  เพราะแม่เขาทำหน้าง้ำใส่ บ่นพอให้ได้ยินเสียงกระชาก ๆว่า “ไม่เกี่ยวกับใคร” ทำเอาฉันต้องคอยหลบไปสองสามวัน 



 เช้าวันนี้  จู่ ๆ ฝนก็ตกพรำ ๆเป็นละอองฝอยขึ้นมา   ตอนเด็กนักเรียนตัวเล็ก ๆสองคนเดิมเดินผ่านหน้าบ้านฉันพอดี  ไม่เห็นเขามีร่ม  ฉันก็เลยวิ่งเอาร่มไปให้  คราวนี้ค่อยได้เห็นรอยยิ้มจากแม่เขานิดหน่อย  “เย็น ๆจะเอามาคืนนะคะ” เธอว่า  ทำให้ฉันสบายใจขึ้น  พอตกสายก็มีรถกับข้าววิ่งผ่าน  เขาร้อง “กับข้าวครับกับข้าว” ฉันเคยโบกเรียกเหมือนกัน  แต่อาหารทะเลมักไม่สดอย่างที่โฆษณา  วันนี้ฉันก็เลยปล่อยให้มันวิ่งผ่านไปเฉย ๆ ฉันเปิดโทรทัศน์ดู เห็นรายการตลก ๆก็ดูไปพอฝืด ๆแล้วก็ไปนอน  คราวนี้หลับไปนาน  ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เที่ยงแล้ว  เดินไปที่ร้านขายของชำหน้าปากซอย  ไปซื้ออาหารตามสั่งมากิน  เจ้าของร้านพอเห็นหน้าก็ร้องทักว่า
 “ป้าส้ม..เกษียณแล้วสบายจริงเนาะ”
 ฉันพยักหน้ายิ้ม ๆ  ขณะเดินกลับบ้านถึงกลางซอยก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งเดินตาม ทำเอาใจหายไม่กล้าหันไปมอง  พอดีได้ยินเสียงเรียก  “ป้าส้ม ป้าส้มจ๋า” ฉันหันไป  เห็นหน้าหลานชาย ลูกของน้องสาวที่เป็นพวกเบี่ยงเบน  เดินส้นสูงปลายแหลมกระดี๊ด ๆตัวเอียงเข้ามาหา  “หนูวิ่งตามป้าส้มแทบตาย”
 “บอย  มาทำไม” ฉันถามเสียงห้วน ๆ
 “แวะมาค้างด้วย” หลานพูดหน้าตาเฉย  แถมหิ้วกระเป๋าเดินทางใบย่อมมาด้วย “แม่บอกให้มานอนเป็นเพื่อนป้าบ้าง”
 ฉันไม่ชอบใจเท่าไรนัก  เพราะหลานคนนี้ชอบมีเพื่อนชายประเภทเดียวกันมาหา  และมักส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด ทำเอาฉันนอนไม่หลับ  แต่ก็กลับตอบไปว่า  “เอาสิ…”



 บ่ายวันนั้น  หลานออกไปบ้านเพื่อน  กลับมาอีกทีก็ดึกแล้ว  ส่วนฉันก็เหมือนอยู่คนเดียว  เพราะกินไม่ค่อยลง นอนไม่ค่อยหลับ  โทรทัศน์ไม่สนุก  ทำไมดูไม่สนุกก็ไม่รู้ นึกไม่ออก ตอนดึกน้องสาวโทรศัพท์มาถามข่าวคราว  คนที่เป็นแม่ของหลานนั่นแหละ พอบอกว่าหลานกลับมาดึก  น้องสาวก็เลยเรียกหลานไปด่าทางโทรศัพท์  ทะเลาะกันบ๊งเบ๊งลั่นบ้าน  ทำเอาฉันปวดหัวหนักไปอีก  แถมยังมาพูดโทรศัพท์ส่งท้ายกับฉันอีกว่า “ต่อไปพี่อย่าให้มันไปเที่ยวนะ  อุตส่าห์ส่งมาเป็นเพื่อนป้า  แล้วยังเหลวไหลอีก..” วางหูไปแล้ว  ฉันรู้สึกเหนื่อยจนบอกไม่ถูก  ทำไมกลายเป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องดูแลหลานไปเสียได้นะ  คิดแล้วอยากจะออกปากไล่ให้หลานกลับไปบ้านเสียกลางดึก  แต่ก็ได้แต่นึก


 คืนนั้น  มีข่าวประชาชนชุมนุมกันยกใหญ่   รุ่นน้องที่ทำงานเก่าโทรศัพท์มาบ่นงึมงำ  ได้ความว่า “ออกไป ออกไป” ฉันบอกกับน้องว่า ใจเย็น ๆ เรายังไม่รู้เลยว่าเขาทำผิดอะไร  วางหูโทรศัพท์แล้ว   ฉันเผลองีบหลับไปไปหน่อย  ตื่นขึ้นมาอีกทีเพราะปวดปัสสาวะ  ก็ค่อยเปิดประตูห้องออกมา มองไปที่ห้องหลาน  ที่อยู่ชั้นบนด้วยกัน  เห็นปิดไปเงียบแล้ว  เดินลงบันไดมาชั้นล่างจะเข้าห้องน้ำ  ไฟชั้นล่างปิดเงียบ  ปกติฉันจะเปิดไฟดวงในครัวไว้  พอให้เห็นทางเพราะกลัวตกบันได  คราวนี้หลานคงไม่รู้ก็เลยต้องลงมามืด ๆ พอถึงห้องน้ำก็กดสวิชท์ไฟ  สว่างจ้าจนต้องหยีตา  ฉันถลกประโปรงนอนขึ้น  ขยับจะนั่งลงที่โถส้วม  อะไรสักอย่างดำ ๆติดอยู่ตรงด้านในขอบโถส้วมสีขาว  ฉันเขม้นมอง  สิ่งดำ ๆ นั้นเคลื่อนไหวกระดุกกระดิก  “อ้าว  ไม่ใช่…” พอนึกได้แค่นี้ตัวฉันก็กระเด้งตัวออกห่างโถโดยอัตโนมัติ  ปัสสาวะหด  ฉันจ้องมองเจ้าสีดำ ๆนั้นอีกครั้ง  มันเปลี่ยนจากจุดเป็นเส้นยาวและเปลี่ยนเป็นวงกลม  ราวกับผลงานของการ์ตูนแอนิเมชั่นในจอโทรทัศน์  
 ฉันว่าฉันควรจะกรีดร้องออกไปให้ดัง ๆ แต่มันกลับดังได้เพียงแค่เสียงครวญคร่ำอยู่ในคอ “เอ่อ …เอ่อ…”
 เส้นยาวสีดำโยกย้ายไปมา  คราวนี้ฉันรู้แน่แล้วว่า  เส้นสีดำนั้นควรจะเป็นอะไร  กลั้นใจมองไปอีกครั้ง  คราวนี้ฉันเห็นหัวที่ใหญ่กว่าส่วนอื่น  แถมยังเห็นดวงตาสีดำเล็ก ๆอีกสองจุดด้วย  ฉันปิดประตูห้องน้ำแผ่วเบาราวกับกลัวสิ่งนั้นจะตกตื่น วิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว  ตรงเข้าทุบประตูรัว ๆ ส่งเสียงเรียกหลาน “บอย ๆ  ๆ  ๆ ๆ ๆ” ใจฉันสั่นระรัวขณะทุบไป  นึกอยู่ในใจว่า  ถ้าเมื่อกี้เรานั่งลงไปตรงโถส้วม  แล้วถูกเจ้าตัวนั้นกัด  อะไรจะเกิดขึ้น  กัดตรงนั้นพอดี  โอย  ยิ่งคิดยิ่งหวาดเสียว  โอย ๆ  ยิ่งเสียวมือก็ยิ่งทุบ  ในที่สุด  ก็ได้ผล  หลานชายผู้ที่ฉันไม่เต็มใจให้ค้างโผล่หน้ายู่ยี่ออกมาจากห้อง
 “มีอะไรหรือฮะ..ป้าส้ม”
 “งู  ๆ  ๆ ๆ” ฉันบอกระรัว “งูอยู่ในส้วม”
 พอสิ้นคำของฉันหลานบอยก็ปิดประตูโครมเข้าใส่หน้าฉัน
 “ว้าย  ไม่เอา”
 ฉันยืนงงอยู่หน้าประตูห้อง  ความกลัวจนตัวสั่นค่อย ๆจางหายไป  ได้ความรู้สึกโกรธเข้ามาแทนที่  เหมือนกับน้ำร้อนที่กำลังไหลเข้าไปในน้ำเย็น  สักพักหนึ่ง  น้ำเย็นที่ยังไม่ได้ไหลออกไปก็ปนเข้ากับน้ำร้อน  ฉันรู้สึกปั่นป่วนภายในอย่างรุนแรง 



 ในที่สุด  ฉันก็ขยับตัวก้าวลงบันไดช้า ๆ ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะไล่หลานชื่อบอยออกจากบ้านไป  “มันเป็นผู้ชายนะ” ฉันนึกอยู่ในใจ  อย่างน้อยตอนมันเกิดมา  ฉันไปเยี่ยมมัน มันก็เป็นเด็กผู้ชาย  แล้วมันก็ชื่อบอย  บอย บอย 



 ขณะก้าวลงบันไดจวนจะถึงขั้นสุดท้ายนั้นเอง  ก็มีเสียงเปิดประตูแล้วก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว  ดูจะแซงหน้าฉันออกไปด้วย  “บอยไปละ ป้าส้ม  บอยกลัวงู” นั่นเป็นประโยคแหลมสูงของหลาน  แถมยังหันกลับมาบอกอีกด้วยว่า “ป้าไปเปิดประตูหน่อย  ส้มจะไปแล้ว” และโดยไม่สนใจไต่ถามใด ๆทั้งสิ้น  บอยวิ่งพรวดเดียวออกไปยืนอยู่หน้าประตูรั้ว  เตรียมพร้อมจะออกจากบ้าน  ฉันเดินไปที่โต๊ะข้างหน้าต่าง  หยิบกุญแจ เดินออกมาที่ประตูรั้ว  ไม่มองหน้าหลาน  พึมพำอยู่ในใจ “ออกไปเลยแก” เปิดประตูและมองดูร่างกระโดกกระเดกนั้นกระโดดออกไปจากบ้านของฉันอย่างเจ็บปวด
 “สวัสดีป้าส้ม” หลานยังมีใจกล่าวลา



 ฉันเดินกลับเข้าบ้าน  น้ำเย็นที่ปนกับน้ำร้อนอยู่ภายในกลับคลั่งขึ้นมาใหม่  ฉันไปยืนอยู่ตรงโทรศัพท์ กะว่าจะต้องอาละวาดเรื่องลูกกับน้องสาวให้ได้  แต่พอเดิน ๆไปฉันก็หมดแรง  ขาที่ก้าวก็ล้าลง  ในที่สุด  เมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงโทรศัพท์ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังเผชิญกับอะไร  รู้สึกเข่าอ่อนจนต้องนั่งลงบนโซฟา ฉันหลับตาลง  ตัวเลข ๑๙๑  ผุดขึ้นในหัว  ลืมตาขึ้นมาใหม่  โทรศัพท์แทบจะลอยอยู่ตรงหน้า  ตั้งสติใหม่  ยกหูโทรศัพท์  แล้วจึงกด  ๑๙๑
 “คร้าบ…๑๙๑  คร้าบ”
 “งู ๆ” ฉันพูดออกไปก่อนสองคำ  จากนั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องแบบวกไปวนมา  จนสักพักหนึ่ง  จึงเริ่มเข้าที่  และเริ่มอธิบายได้ว่า งูอยู่ที่ไหน  “อยู่ในห้องน้ำ” ฉันบอกกับตำรวจ  “มาเดี๋ยวนี้เลยนะ” ตำรวจเงียบไปอึดใจหนึ่งแล้วจึงว่า “ตีสองนะครับ”
 “ใช่” ฉันยืนยัน
 “พรุ่งนี้เช้าแล้วกัน…”
 “ไม่ได้” ฉันบอกเสียงแข็ง  “ฉันยังไม่ได้ฉี่เลย..”
 ตำรวจเงียบไปอึดใจใหญ่  ก่อนตอบกลับมาเสียงอ่อย ๆ “เข้าอีกห้องสิครับ”
 “ไม่มี” ฉันแว้ดแหว “ฉันมีห้องน้ำห้องเดียว”
 “ครับ” ตำรวจรับคำเสียงอ่อย ๆ”แล้วผมจะรีบไป”
 ฉันกำลังจะสัปหงกอยู่แล้วตอนที่มีเสียงรถมาจอดหน้าบ้าน   ฉันเปิดไฟสว่าง  ไปแอบดูอยู่ข้างหน้าต่าง  จนแน่ใจว่าเป็นรถตำรวจแล้ว  จึงเปิดประตูเดินออกไป  พอถึงหน้าบ้านก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นคนยืนกันอยู่เต็มหน้าบ้าน   ส่วนใหญ่เป็นคนแต่งชุดธรรมดา  มีตำรวจจริง ๆอยู่เพียงสองคน
 “๑๙๑ ใช่ไหม”  ฉันถาม
 “ครับ” ตำรวจคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านตอบ  ฉันมองไปที่คนเกือบสิบคน “ทำไมมาจับงูกันเยอะอย่างนี้ล่ะ”
 ตำรวจคนยืนติดประตูยิ้ม ๆแล้วว่า  “อ๋อ…ไม่ได้มาจับงูหรอกครับ  นี่เป็นพวกผู้ต้องหา  ผมไปจับบ่อนมา  ระหว่างพาผู้ต้องหาส่งโรงพัก  นายเขาวอไปบอกว่า  บ้านนี้มีงู  ผมก็เลยผ่านมาจับงูให้ด้วย”



 ฉันยืนนิ่ง  นี่พวกเขาเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร  จึงพาผู้ต้องหามายืนอยู่หน้าบ้านฉันเต็มไปหมดเช่นนี้
 “งูอยู่ไหน” เขาถามแบบใส่ใจในหน้าที่สุดขีด
 ฉันพาเขาเข้าไปในบ้าน  ชี้ไปที่ประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่  ”อยู่ในนั้นแหละ..”ฉันว่า  ตำรวจเปิดประตูอย่างระมัดระวัง  เงียบไปพักหนึ่ง  เขาจึงตะโกนถามฉันว่า  “อยู่ตรงไหนครับ คุณป้า” ผมไม่เห็นเลย”  ฉันเดินไปที่ห้องน้ำ  มองเข้าไปตรงโถส้วม  ชี้ให้ตำรวจดูตรงจุดที่เคยเห็นงู  ซึ่งบัดนี้มันขาวสะอาด  ไร้ร่องรอยเส้นสีดำ จุดสีดำ หรืออะไร ๆสีดำทั้งสิ้น  ตำรวจยกฝาโถส้วมขึ้น  ฉีดน้ำ หยิบโน่น เปิดนี่  ทุกอย่างก็ยังนิ่งสงบ 
 “ตัวใหญ่ไหมครับ” เขาถาม
 “ไม่ใหญ่..”ฉันตอบ  “แต่น่ากลัว”



 ตำรวจมาตอนตีสามและจากไปตอนตีสี่พร้อมกับผู้ต้องหาอีกสิบคน  ไม่ได้แม้แต่จะเห็นงู  ปล่อยให้ฉันนั่งหลับสัปหงกอยู่ที่โซฟาจนเช้า  โดยไม่ได้ปัสสาวะ


 เพื่อนบ้านทุกคนรู้เรื่องงู  ต่างแวะเวียนมาให้กำลังใจโดยพาเหรดกันเข้ามาดูงูที่อยู่ในโถส้วม  มีหลายคนช่วยกันออกความเห็นเรื่องการล่าและฆ่างู  น้ำยาล้างห้องน้ำอย่างแรง  ผงซักฟอก  ยาฉีดกันยุง  น้ำปลา น้ำส้ม น้ำต้ม น้ำเหล้า  สุดแล้วแต่ว่าใครจะแนะนำน้ำอะไร ทุกอย่างถูกเทลงไปในโถส้วม  กดชักโครกลงไป  กระบวนการล้างส้วมเกิดขึ้นตั้งแต่เช้าจนเย็น  แล้วแต่ว่าใครจะมีความคิดอะไร 



 “ตายหมดแล้ว” ใครคนหนึ่งสรุป  “ป้าส้มเข้าห้องน้ำได้แล้ว”
 ฉันขอบคุณทุกคน  พอตกค่ำ ขณะเปิดโทรทัศน์ดูข่าว   ฉันก็เอาผ้าขี้ริ้วมาชุบน้ำและเช็ดถูรอยตีนที่เป็นเทือก ๆเข้ามาในบ้านจนสะอาด  เช็ดไปก็ฟังข่าวไป  ได้ยินแต่คำว่า ออกไป ๆ  พอตกดึกฉันก็เริ่มหิวข้าวและนึกได้ว่ายังไม่ได้กินข้าว  พอตักข้าวมากินเสร็จ  ก็ปวดท้องอยากเข้าส้วม  ตอนฉี่ไม่เท่าไร  ตอนอึนี่สิ  ฉันจะทำอย่างไรดี  เกิดไอ้งูนั่นมันยังไม่ตาย
 “ออกไปโว้ย” ฉันตะโกนอยู่คนเดียว



 ห้องน้ำมีกลิ่นแปลก  ๆตอนฉันโผล่หน้าเข้าประมาณเที่ยงคืน  และคราวนี้ฉันก็เห็นมันอีก  ตำแหน่งใกล้เคียงกับที่เดิม  มันโผล่หน้าออกมาทำหัวโตกว่าตัวเล็กน้อยเหมือนเดิม  ฉันไม่ได้ถ่ายหนักถ่ายเบา  หากวิ่งออกจากห้องน้ำกระเจิดกระเจิง  เริ่มเรียนรู้ว่า  เดี๋ยวมันก็จะหายไปอีก  ฉันเดินไปเดินมา  ครุ่นคิดอะไรสารพัดสารพัน  ล้วนแต่เป็นวิธีการฆ่างูให้สิ้นซาก



     ในที่สุด  ฉันก็โทรศัพท์ไปบ้านช่างซ่อมบ้านที่คุ้นเคยกันตอนตีสอง  เสียงภรรยาช่างชื่ออ้อยงัวเงียขึ้นมารับสาย  “ใครคะ  ป้าส้มหรือ  มีอะไรหรือคะ..” “งู ๆ ที่บ้านป้ามีงู” อ้อยร้องวี้ดว้าย  แล้วบอกว่า  เดี๋ยวหนูปลุกพ่อปีเตอร์มัน  ให้มันไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ป้าส้ม..”



 เดี๋ยวนี้เลยนะของอ้อยคือตอนตีสี่  ฉันสัปหงกแล้วสัปหงกอีก  ตั้งแต่ตีสี่ไปจนหกโมงเช้า  ช่างที่ถูกเรียกว่าพ่อไอ้ปีเตอร์มัน  ก็รื้อเอาชักโครกออกมาเป็นชิ้น ๆ ล้างไปเป็นชิ้น ๆ แล้วก็ประกอบเข้าไปใหม่  แถมท้ายด้วยการเทโซดาไฟลงไปในส้วมจนควันโขมง
 “เก่งจริงออกมาสิ”อ้อยว่า  “ตายแน่มึง”
 “จะเหลือซากรึ  โดนโซดาไฟก็เปื่อยหมด” ช่างเสริม  หน้าตากระเหี้ยนกระหือรือ
 ฉันจ่ายเงินให้ช่างไปหนึ่งพันบาท   นอนหลับตาลงเป็นครั้งแรกในรอบสามวัน เข้าห้องน้ำได้ถ่ายดี
วันรุ่งขึ้นก็มีคนแวะมาไถ่ถามกันพอสมควร  ฉันพูดน้อยลงและไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้าบ้านอีก โทรทัศน์ก็ยังเป็นเรื่องออกไป ๆ อยู่นั่นแล้ว


เช้าวันที่ห้านั้นเอง  ฉันก็เห็นมันอีกครั้งตอนตีสาม  ตอนเห็นแวบแรก  ฉันคิดว่าฝันไป หรือไม่ก็ฟั่นเฟือนด้วยความกลัว  แต่หลังจากยืนมองอยู่พักหนึ่ง  จึงตระหนักแน่ตั้งแต่หัวจรดเท้าว่า  ฉันไม่ได้ฝันไป  และนั่นคือมันแน่แท้แล้ว
“งู” ฉันกระซิบเบา ๆกับตัวเอง  คราวนี้ตั้งใจว่าจะไม่บอกใครแม้สักคน
   


(ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ โดย มาแซล บารัง ลงในบางกอกโพสต์)