ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2553 ที่ผ่านมา โครงการวิจัย การวิจารณ์ศิลปะ: รอยต่อระหว่างวัฒนธรรมลายลักษณ์กับวัฒนธรรมเสมือนจริง ซึ่งมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปาริชาติ จึงวิวัฒนาภรณ์ เป็นหัวหน้าโครงการ ได้เปิดตัวและเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการ
โครงการวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุกการวิจัย (สกว.) ซึ่งมีระยะเวลาในการดำเนินการวิจัยรวม 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2553 ถึง 30 กันยายน 2556 ซึ่งการวิจัยจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ดำเนินการช่วงละ 18 เดือน โครงการวิจัยนี้ยังคงเป็นโครงการวิจัยน้องใหม่และยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่ หลายมากนัก แต่ก็ไม่ได้เป็น น้องใหม่ถอดด้าม ที่เริ่มต้นวิจัยจากศูนย์องศา เพราะแท้ที่จริงแล้วเป็นโครงการวิจัยต่อเนื่องที่สืบทอดองค์ความรู้และ ประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการวิจารณ์ศิลปะที่ดำเนินวิจัยต่อเนื่องมาเกือบ 15 ปี จากโครงการวิจัย 3 โครงการที่ผ่านมา อันได้แก่ โครงการวิจัย กวีนิพนธ์ในฐานะพลังปัญญาของสังคมร่วมสมัย : ประสบการณ์จากวรรณคดีไทย อังกฤษ อเมริกัน ฝรั่งเศส และเยอรมัน โครงการวิจัย การวิจารณ์ในฐานะพลังปัญญาของสังคมร่วมสมัย ภาค 1 และ 2 และ โครงการวิจัย การวิจารณ์ในฐานะปรากฏการณ์ของสังคมร่วมสมัยเพื่อพัฒนาความรู้ด้านสังคมศาสตร์การวิจารณ์ ภาค 1 และ ภาค 2
องค์ความรู้และประสบการณ์ในการวิจัยของโครงการทั้งสาม นับเป็นรากฐานสำคัญเพื่อใช้วิจัยต่อยอดในโครงการวิจัยใหม่นี้ เนื่องจากองค์ความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาช่วยเผยให้เห็นว่าวิจารณ์ ศิลปะในสังคมไทยได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมว่า การวิจารณ์ศิลปะในสังคมไทยเริ่มต้นจากวัฒนธรรมมุขปาฐะ และต่อมาก็แปรเปลี่ยนเป็นวัฒนธรรมลายลักษณ์ แต่ก็ยังไม่เป็นวัฒนธรรมลายลักษณ์อย่างเต็มรูปเหมือนในสังคมตะวันตก เนื่องจากการวิจารณ์ในวัฒนธรรมุขปาฐะก็ยังคงเข้มแข็งและไม่ได้ลดบทบาทลงแต่ อย่างใด โดยเฉพาะในศิลปะบางประเภท เช่น ดนตรีไทย ละครเวที และ ทัศนศิลป์ เมื่อสังคมก้าวเข้ายุคโลกาภิวัตน์ของโลกไร้พรมแดนในยุคปัจจุบัน
ศิลปะและการวิจารณ์ศิลปะได้ปรับตัวอีกเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่ที่เกิด ขึ้น ซึ่งก็คือวัฒนธรรมเสมือนจริงที่มีพื้นที่สำคัญอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตหรือ โลกไซเบอร์ ดังนั้น โครงการวิจัยนี้จึงอาศัยข้อสรุปที่ว่าการวิจารณ์ศิลปะเป็นกิจกรรมที่มีบทบาท อยู่ในกระแสวัฒนธรรมลายลักษณ์และวัฒนธรรมเสมือนจริง ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ว่าการวิจารณ์อาจจะเป็นตัวช่วยสมานวัฒนธรรม ทั้งสองเข้าหากัน เพราะว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่อยู่ใน แดนกลาง อันเป็นรอยต่อระหว่างวัฒนธรรมทั้งสอง ซึ่งสามารถใช้ศักยภาพของทั้งสองกระแสในการสร้างงานวิจารณ์ที่มีคุณภาพอัน เป็นประโยชน์แก่สังคมได้ ด้วยเหตุนี้ การวิจัยของโครงการนี้จึงมุ่งที่จะหาข้อสรุปรวมที่ว่าด้วยลักษณะของการ วิจารณ์ลายลักษณ์ และศึกษาโอกาสใหม่ที่โลกเสมือนจริงเปิดให้แก่การพัฒนาการวิจารณ์ รวมทั้งนำกรณีตัวอย่างของผู้ที่อยู่แดนกลางมาวิเคราะห์ เพื่อแสวงหาแนวทางในการปรับการวิจารณ์ให้เป็นตัวกระตุ้นปัญญาให้แก่สังคม
โครงการวิจัยนี้ไม่อาจดำเนินการได้ถ้าขาดผู้สนับสนุนที่เข้าใจและเปิดโอกาส ให้มีการวิจัยต่อเนื่องดังเช่นที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เปิดโอกาสให้ เพราะการสนับสนุนทุนวิจัยขององค์กรอื่นๆ ส่วนใหญ่มักจะให้เป็นทุนระยะสั้น เช่น 1 ปี ซึ่งเมื่อจบโครงการวิจัยหนึ่งๆ แล้วก็เปลี่ยนไปสนับสนุนโครงการวิจัยใหม่ๆ ต่อไป แต่การวิจัยโดยเฉพาะการวิจัยทางด้านศิลปะ และการวิจารณ์ศิลปะจำเป็นต้องอาศัยเวลาเพื่อที่จะศึกษาและรวบรวมองค์ความรูป ที่ได้อย่างเป็นรูปธรรมและเชื่อถือได้ เมื่อ สกว. ให้โอกาสโครงการฯได้ทำงานต่อเนื่องยาวนานมาเป็นเวลาเกือบ 15 ปี จึงทำให้โครงการฯสามารถรวบรวมและสร้างองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการวิจารณ์ ศิลปะของสังคมไทยขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันในระหว่างคณะผู้วิจัยก็ได้มีการถ่ายโอนความรู้และเรียนรู้ร่วม กันระหว่างรุ่นสู่รุ่น ในปัจจุบันนักวิจัยส่วนใหญ่จัดได้ว่าเป็นรุ่นที่สาม ซึ่งถือว่าเป็นนักวิจัยรุ่นใหม่ของโครงการฯ ส่วนนักวิจัยรุ่นอาวุโส และนักวิจัยรุ่นกลางที่เคยเป็นผู้วิจัยโครงการฯรุ่นแรกๆ ก็ผันตัวเป็นที่ปรึกษาสำหรับนักวิจัยรุ่นใหม่นี้ด้วย ท่านที่สนใจจะรับทราบบรรยากาศของการวิจัยในหมู่นักวิจัยที่ได้ทั้งความสนุก สนานและความรู้ทางวิชาการ โปรดดูหนังสือ คุณปู่แว่นตาโต ของ ชมัยภร แสงกระจ่าง ยิ่งไปกว่านั้น วิชามนุษยศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องคิดลึก คิดนาน คิดต่อเนื่อง แต่ถ้าจะให้ดีจะต้องมีการคิดร่วม คณะผู้วิจัยจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมของโครงการฯ โดยเราจะใช้พื้นที่นี้เป็นจุดเรื่มต้นของการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยจะมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ให้โอกาสเราได้ออกจากโลกเสมือนจรืงมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ด้วยการพบปะสังสรรค์กันในรูปของ มนุษย์สัมผัสมนุษย์