วันเกิดของใครไม่รู้

ในสภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ดเช่นนี้ มีชีวิตอยู่ก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนกันไป เทพองค์ใดก็คงช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ขวนขวายด้วยตนเอง…

ขอเล่าสักนิด…ตัวผมนี้เป็นคนต่างจังหวัด ไม่ไกลกรุงเทพฯ มากนัก…รักดี…เลยพยายามที่จะร่ำเรียนจนจบปริญญา แต่ว่า…โชคร้าย… จบมาตั้งนานยังหางานทำไม่ได้ จะทำอย่างไรดีหนา ตอนเรียนก็ว่าเลือกดีแล้ว บริหารธุรกิจ แต่ทำไมดันไม่มีใครมอง รูปร่างหน้าตาก็ดี แต่เราไปทำอะไรผิดที่ผิดทางหรือเปล่าหนอ ไม่เข้าใจ

แต่ผมยังคงสู้ ๆ ๆ ๆ ต่อไป เพราะไม่อาจท้อถอยได้ สตางค์ที่แม่ให้มา เหลือน้อยเต็มที ไม่รู้จะพอยาไส้ไปได้สักกี่วัน ข้าวของมันก็แพงขึ้น ๆ เสียจริง ๆ ทุกวันนี้อาศัยโชคดีได้กินข้าวฟรีของหลวงตาก่อนออกมาหางาน ก็ที่อยู่ก็กุฏิหลวงพ่อที่วัด ท่านเมตตาแบ่งปันให้ ซึ่งก็ได้อาศัยมาตั้งแต่เข้ามาเรียนในกรุงนี่แหละ อาศัยพ่อรู้จักเลยฝากมา แต่ว่าข้าวมื้อต่อๆ ไปก็ต้องหาใส่กระเพราะเอาเอง

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมขวนขวายในการหางานทำ…บริษัทข้างหน้านี้ดูดี ลองอีกทีนะเรา…คิดในใจ แล้วก็รีบเดินก้าวเข้าไปข้างใน แจ้งเขาว่ามาสมัครงาน แต่ยังไม่ทันต่อไปไหน

“บริษัทเราไม่มีนโยบายรับพนักงานช่วงนี้ค่ะ” เสียงใสๆ ของสาวสวย ไม่ได้ทำให้ผมซาบซ่านหัวใจเอาซะเลย มีแต่…เหี่ยว…เฮ่อ!..ถอนหายใจเบาๆ ไม่ให้เขาได้ยิน แล้วก็หันหลังกลับเดินผ่านช่องประตูออกไป รับไอแดดอีกครั้ง

เท้าก้าวย่างตามถนนข้างทาง ไปพักนั่งที่ป้ายรถเมล์

“จะไปไหนต่อดีวะเรา” ผมรำพึงรำพันกับตัวเอง รู้สึกเหนื่อยหน่ายเสียแล้ว ทำไมหนองานถึงได้หายากหาเย็นขนาดนี้
วันนี้ผมเดินเข้าไปสมัครงานกว่าสามบริษัทแล้ว เดินไปเรื่อยๆ เมื่อยก็แวะพักหน่อย แล้วไปต่อ ถ้านับระยะทาง คงเป็นสิบกิโลเมตรละกระมัง ขาชักหมดแรง ก็เลยปล่อยก้นแปะไว้ที่เก้าอี้ตรงป้ายรถเมล์นั้นจนเวลาผ่านไปหลายสิบนาที ผมก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม นั่งมองรถเมล์หลายสายที่แวะจอดแล้วก็ผ่านไป ๆ รู้สึกมีอะไรบางอย่างมันร้องเตือน…จ๊อก ๆ ๆ ๆ…เพื่อนของกระเพาะอาหารนั่นเอง…เจ้าน้ำย่อย…มันคงถึงเวลาทำหน้าที่ของมันแล้วสินะ…ผมรู้สึกหิว…เลยลุกขึ้น เดินต่อไปเรื่อยๆ พอเจอร้านค้าว่าจะหาของกินข้างทางรองท้องไปก่อน มือล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์ …เฮ้ย !..ผมตกใจยิ่งนัก กระเป๋าสตางค์สุดที่รักของผมมันหายไปไหน

“โธ่โว้ย วันนี้มันเป็นวันอะไร ทำไมถึงได้ ซอ อัว ยอ อย่างนี้วะ” ผมสบถกับตัวเอง

ผมรู้สึกเศร้ายิ่งนัก ไปหาที่นั่งพักอีกรอบ เอาศอกสองข้างพักที่ไว้หน้าขาประคองคางเอาไว้ แต่รู้สึกศอกไปสะดุดอะไรบางอย่างตรงหน้าขา ผมเลยเอามือล้วงในกระเป๋ากางเกง สิ่งที่ติดมือขึ้นมา… แบงค์ ยี่สิบหนึ่งใบ กับเหรียญห้าอีกหนึ่งอัน นอกนั้นเหรียญบาทสามเหรียญ…นี่คือเงินที่ผมเหลือติดตัว

ผมนั่งกุมขมับ เงินแค่นี้จะพอได้ยังไง แค่รถเมล์กลับวัดก็เหลืออีกไม่เท่าไหร่ แล้วเย็นนี้จะทำยังไงหว่า ค่ามาม่าซองหนึ่งยังไม่พอเลย จะบริหารเงินยังไงคิดไม่ออกจริงๆ ไอ้ที่ร่ำเรียนบริหารมาวันนี้มันใช้ไม่ได้ผลเอาเสียเลย

เหมือนโชคไม่เข้าข้าง…เจ้าคอของเราก็ดันกลัวน้อยหน้าร้องว่า มันจะแห้งแล้ว เจ้าท้องก็ไม่ยอมแพ้ ตะโกนร้องว่า มันหิว ตาแลมองสตางค์ก็เลยทำให้ใจหาย ทำยังไงหนอ ตั้งแต่เช้าก็เพิ่งกินข้าวก้นบาตรมามื้อเดียว ถ้ากินข้าวสักจาน น้ำสักแก้วจะไหวมั้ย มองๆ ไป อาหารแถวนี้ทำไมมันโค ตะ ระ แพงอย่างนี้หว่า ถ้ากิน เงินก็หมดกันพอดีได้เดินกลับวัด ถึงพรุ่งนี้เย็นแน่ๆ เลย รู้สึกอ่อนใจ
แต่ทำยังไงได้ในเมื่อร่างกายมันต้องการ ผมก็เลยต้องเอาใจเจ้าคอที่กำลังแห้ง ซื้อน้ำกรอกเข้าไป เผื่อให้เจ้ากระเพาะมันด้วย ช่วยๆ กันก่อนนะเพื่อนเอ๊ย กำลังจน

ผมเดินหางานไปเรื่อยๆ ทั้งที่หิวและเมื่อยแทบขาดใจ แต่ก็ต้องทนไม่อยากเสียเวลา ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว

จนตะวันเริ่มโบกมือบ้าย บาย คล้อยหายไปตามกาลเวลา พระจันทร์ก็โผล่หน้ามานิดหนึ่งไม่ถึงครึ่งดวงด้วยซ้ำ เหมือนตอกย้ำความทุกข์ในใจเสียนี่กระไร

“มืดแล้ว ทำยังไงดีหว่าเรา หิวข้าวชะมัดเลย” รำพันในใจ
สองตามองแสงไฟข้างทางเหมือนจะเริ่มพร่า แต่ก็ต้องทนแบกกายาที่เหนื่อยอ่อนไว้ เดิน แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ กะจะหาห้องน้ำเข้าสักหน่อย เพื่อปล่อยทุกข์ออกมา เดินผ่านหน้าโรงแรม…เอ่อ! น่าสนใจ…ก็เลยตัดสินใจเดินเข้าข้างใน หวังจะได้เข้าไปจัดการภารกิจ และล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำสักหน่อย แล้วค่อยกลับวัดก็แล้วกัน

พอก้าวย่างเข้าไป ผ่านห้องใหญ่ที่ประตูเปิดอ้า ผู้คนมากมายแต่งกายละลานตา เหมือนว่ากำลังมีงานเลี้ยงกัน ผมก็เลยเดินเฉียดแอบไปดู ไม่รู้ว่างานอะไร มีบางสิ่งแหวบขึ้นมาในใจ ก็เลยรีบเดินไปที่ห้องน้ำทันที
จัดการล้างหน้าตา ควักผ้ามาเช็ดหน้าให้สดใส แล้วก็จัดการผมเผ้าให้ดูดี เสื้อผ้า ไท้ ทุกอย่างที่มีก็จัดการให้มันเข้าที่เข้าทาง แล้วก็เดินย้อนกลับมาที่ห้องเดิม ทำหน้าตาหนาเข้าไว้ แล้วรีบเดินเข้าไป

ผู้คนกำลังตักอาหาร ผมก็เลยหยิบจานสวมรอยร่วมเข้าไป โอ!บุฟเฟ่ มีอาหารมากมายเลือกได้ตามชอบใจ สิ่งแรกที่เล็งไว้ ข้าวสวยขาวๆ ตักเสียสองทัพพี เขยิบตรงนี้น่องไก่ทอด คีบใส่เสียสี่ชิ้น นี่ก็แกง นี่ก็ผัด นั่นก็หลน เอาละว้า ทุกอย่างถูกผมตักใส่จานเสียเต็มพิกัดทีเดียว ขอสักมื้อเถอะครับ สำหรับคนโชคร้ายคนนี้ พอตักเสร็จก็แหวบออกมาหาที่ ได้มุมดีก็ตักข้าวใส่ปากอย่างเร็วไว
พอกินอาหารเสร็จ ผมก็รีบไปหาน้ำกรอกตามกันลงไป พอได้ประทังชีวิตไปอีกมื้อ

แต่ผมก็ยังเตะถ่วงเวลาทำท่าเป็นแขกมาร่วมงาน มองสำรวจไปทั่ว มันไม่ใช่งานแต่งงาน เพราะไม่มีคู่บ่าวสาว แต่มันเป็นงานอะไร มองดูเหมือนมีหญิงสูงวัยที่นั่งตอนหน้า กำลังยิ้มหน้าบานอย่างมีความสุข ผู้คนเขยิบกันเข้าไปอวยพรกันมากมาย คงไม่ใช่ลูกหลานทั้งหมดหร๊อกกระมัง เพราะคนเป็นร้อยเห็นจะได้ ผมสงสัยอยู่ในใจว่างานอะไรกัน

ไม่นานนัก เค้กขนาดใหญ่ถูกเข็นออกมา จอดตรงหน้าหญิงผู้นั้น เปลวเทียนสว่างไสว ไฟฟ้าดับพรึบทันใด

“แฮปปี้เบริทเดย์ทูยู ๆ ……….” เสียงร้องอวยพรวันเกิดลั่นห้อง ผมก็เลยร่วมวงไปด้วย

พอเพลงจบ ไฟฟ้าเปิด ผมก็คิดจะลาสักที แต่ในใจก็ยังรู้สึกละอายที่มากินของเขาฟรีๆ ก็เลยอยากจะอวยพรให้เขาบ้าง แต่ก็ไม่รู้เขาชื่ออะไร
ผู้ชายแต่งตัวดีกว่าผมอีก ที่เมื่อกี้ตักอาหารคู่กัน แถมยังมาหลบมุมกินอาหารในมุมตรงข้าม …ผมจำได้…เขากำลังจะเดินผ่านหน้าผมไป ผมก็เลยเดินตาม เขาเดินไปทางห้องน้ำ ผมก็เดินไปบ้าง อย่างน้อยไปทำภารกิจ ล้างไม้ล้างมือ แล้วว่าจะเอ่ยถามอะไรเขาสักอย่าง

พอถึงห้องน้ำ ต่างคนต่างทำภารกิจ แล้วมายืนล้างมือ ผมไปยืนข้างๆ แล้วเลยตัดสินใจถาม

“เห็นที่ห้องใหญ่ มีงานเลี้ยงวันเกิด งานวันเกิดของใครหรือครับ” ทำเป็นพูดหน้าตาเฉย แต่ใจยังรู้สึกเขินๆ ยังไงไม่รู้ อีกฝ่ายหันมามองหน้า ผมรู้สึกเกร็งๆ ละอายๆ กลัวเขาจะรู้ได้ว่าผมแอบเข้าไปกินฟรีในงาน แต่ใจมันอยากรู้จริงๆ มันเป็นสำนึก ผมไม่อยากติดค้างมากนัก กับการลักลอบไปแอบกินของเขา แต่ผมหิวจริงๆ ไส้แทบขาด เอาเถอะ ทำไปแล้ว อย่างน้อยคืนนี้กลับไปไหว้พระก็จะได้อวยพรให้เจ้าของงานเขาสักหน่อย

อีกฝ่ายยังนิ่งมองผม แล้วก็หันหลังกำลังเดินจากไปเฉยๆ ไม่พูดอะไร แต่แล้วอยู่ๆ เขาก็เกิดเปลี่ยนใจหันกลับมา

“วันเกิดของใคร ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ส่งยิ้มให้ผม แล้วก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกไป ทิ้งผมไว้เพียงลำพัง

เรื่องตลกเกิดขึ้น ผมนึกขำในใจ “มาเจอพวกเดียวกันซะแล้วเรา…แต่เอาเถอะครับ…ถึงผมไม่รู้ว่าท่านเจ้าของวันเกิดเป็นใคร แต่การให้ทานแบบไม่ตั้งใจของท่านในวันนี้ ผมก็ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองท่านเจ้าของวันเกิดให้มีความสุขมากๆ นะครับ ด้วยความจริงใจ และขอขอบคุณครับ”

จบ

ภาพประกอบจากเว็บไซต์
www.sakulthai.com
และ
www.ftd.com