1.
หลังจากหักโหม ปิดเล่มหนังสือ และอยู่ร้านงานมหกรรมหนังสือมาต่อเนื่อง จนรู้สึกว่า นานนนนนนนนนน เหลือเกิน ในที่สุด พวกเราก็ได้พักสักที เฮ……

อากาศปลายฝนต้นหนาว ลมเย็นๆ แสงแดดสว่างกระจ่างทั้งวัน แล้วจะไปไหนได้ …ถ้าไม่ใช่ไปทะเล

พวกเราเลือกเกาะเสม็ดเป็นสถานที่ตากอากาศ ด้วยเหตุผล

หนึ่ง เคยไปมาแล้ว รู้ทางหนทีไล่ (ไม่ต้องไปงมโข่งหลงทาง หาที่พัก ซึ่งทำให้เสียเวลาพักผ่อน)
สอง หลังจากโทรไปสอบถามที่พักที่คุ้นเคยแล้ว ก็ทราบว่า ห้องกำลังว่าง และอากาศกำลังดีมาก
สาม ใกล้ ขับรถแป๊บเดียว ต่อเรือแป๊บเดียว ทะเลสวย



เลือกเดินทางยามเช้ามาก และมาถึงท่าเรือเสม็ดตั้งแต่ 9 โมงเช้า เรือออกเก้าโมงครึ่ง ค่าเรือ 50 บาทขาดตัว ไป-กลับ ก็ 100 บาท เช้านี้มีคนไทย 2 กลุ่ม คือเรา และอีกกลุ่มหญิงล้วน 4 คน นอกนั้นมาเป็นคู่ สวีตหวานแหววกันมาทีเดียว ส่วนชาวต่างประเทศ ก็มีคณะทัวร์เอเชียน (ดูไม่ออกว่าป้าๆ แกเกาหลี ไต้หวัน หรืออะไร) และฝรั่งผิวขาวอีก 2-3 กลุ่มที่มีเป็นครอบครัว และน่าจะเดินทางแบบไปกลับ เพราะไม่เห็นขนของพะรุงพะรังอย่างเราเลย

อีกครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงเสม็ด และปีนขึ้นไปนั่งอยู่ท้ายระกระบะรับจ้างเรียบร้อย พร้อมกับนักเดินทางกลุ่มหญิงสาว 4 คน ฝรั่งหนุ่มหล่อมาคนเดียว และคู่รักชาวไทยแหววหวานอีก 1 คู่ ที่หน้าด่าน เราพบว่า ค่าผ่านทางเข้าอุทยานแห่งชาติ จากที่เคยมาครั้งก่อน คนไทย 20 บาท ฝรั่ง 200 คราวนี้ขึ้นราคาเป็น คนไทย 40 บาท ฝรั่ง 400 บาท (ก็ยังถูกกว่าไปภูฏานเยอะอ่ะนะ ที่นั่นนักท่องเที่ยว ต้องเสียภาษีท่องเที่ยววันละประมาณ 4000-7000 บาท )

ฝรั่งหนึ่งหน่อลงที่อ่าวไผ่ เราลงรถที่หาดทับทิม พร้อมกับกลุ่มสาว 4 คน ค่ารถคนละ 20 บาท ส่วนคู่รักไปลงที่อ่าวลุงดำ ซึ่งต้องเสียค่ารถ 2 คน 150 บาท)

เราไม่ได้จะมาที่อ่าวทับทิมหรอก เราเดินตัดหาดทราย เลาะเชิงเขา เลยหาดทับทิมไป มีอ่าวเล็กๆ สงบเงียบ บ้านหลังน้อยๆ ประมาณ 7-8 หลัง ซ่อนตัวอยู่ที่เชิงเขา ทางเข้ามีป้ายไม้แกะสลักว่า อ่าวนวล สาว 4 คน เดินตามเรามา พร้อมคำทักทายว่า “ไปหาดเดียวกันเลย”

พี่ติ๋ว และพี่อ๋อย (ให้ทายว่าคนไหนผู้ชาย คนไหนผู้หญิง) 2 สามีภรรยา เจ้าของบ้านพักอ่าวนวล ยิ้มแย้มต้อนรับ พร้อมแซวว่า ทำไมเรามากันมากมายขนาดนั้น เพราะเข้าใจว่าสี่สาวนั้นเป็นกลุ่มเดียวกับเรา พี่ติ๋วเก็บ “บ้านโพไทร” ไว้ให้เรา ส่วนสี่สาวนั้นพักบ้านสยาม ใกล้ๆ กัน

จากนั้น เราก็นอน นอน นอน และนอน จนบ่าย เราก็ลงเล่นน้ำทะเล สมใจอยาก



อ่าวนวล เป็นหาดเล็กๆ แต่สงบเงียบ น้ำใสสะอาด แต่มีโขดหินและหอยติดโขดหินพอสมควร ซึ่งก็ทำเอาฉันได้แผลที่เท้าเพราะเซ่อซ่าไปถีบกบใกล้โขดหิน แต่โขดหินนี่เอง ที่เป็นแหล่งหากินของปลาเล็กปลาน้อย แค่เรามุดหัวลงไปใต้น้ำ ก็เห็นฝูงปลาเล็กๆ แถมด้วยปลาลายเสือตัวขนาดฝ่ามืออีก 4-5 ตัว

การได้ดำผุดดำว่ายในน้ำใสสะอาด ช่วยให้หัวสมองปลอดโปร่งโล่งสบาย

ตกเย็น เราเดินกลับไปหาดทับทิมเพื่อกินอาหารเย็นแบบครบสูตร มีทั้งปลาเผา ต้มยำทะเล ข้าวผัดปูจานยักษ์ และแน่นอน ไม่ขาดแอลกอฮอล์

เราวางแผนว่าจะพักผ่อน 4 คืน โดยการทำตัวให้ขี้เกียจที่สุด คือ นั่ง นอน เป้าหมายสูงสุดของเรา คืออ่านหนังสือที่แต่ละคนพกมาให้จบ นั่นคือ บันทึกนกไขลาน ของ มุราคามิ 2 เล่ม (หมายถึง มี 2 คนที่หยิบหนังสือเล่มนี้มา) ดลใจภุมริน ของ รงค์ วงษ์สวรรค์ และ สาวสามสิบ ของ บัลซัค

2.

เช้าวันรุ่งขึ้น ขบวนขี้เกียจของเราขยันขันแข็ง ยกทัพข้ามเขา มีเป้าหมายไปยังอ่าววงเดือน ทั้งนี้มิใช่ว่าขยันอะไรมากมาย แต่เราเป้าหมายของเราคือ ไปตามหา “ขนมปังแถว” เพื่อมาทำแซนวิช และกาแฟสำเร็จพร้อมเครื่องกาแฟ เนื่องจากฉันเอง ที่เอาเครื่องทำแซนวิชมาด้วย เราหวังว่าจะประหยัดอาหารมื้อเช้า ทว่าเราขนมปังนั้นไม่มีขายที่อ่าวทับทิม (ที่เป็นแหล่งชุมชนที่ใกล้ที่สุด) เราจึงออกเดินทางไปยังอ่าววงเดือน ที่อยู่เลยอ่าวนวลไปอีก เดินผ่านอ่าวลุงหวัง ไปก่อน ข้ามเขาเตี้ยๆ ไปยังวงเดือน

วงเดือนเป็นอ่าวที่เป็นแหล่งชุมชน มีเรือตรงมายังวงเดือน มีมินิมาร์ท มีทุกอย่างขายทั้งของกิน ชุดว่ายน้ำ เบียร์ ลูกบอล บะหมี่สำเร็จรูป เลยอ่าววงเดือนไป เป็นอ่าวแสงเทียน และอ่าวลุงดำ ที่คนน้อยลงไปอีก

ก่อนถึงอ่าววงเดือน เป็นอ่าวลุงหวัง เราเคยมาพักที่นี่เมื่อเกือบปีมาแล้ว บ้านพักไม่ประทับใจเท่าไหร่ เพราะเป็นบ้านปูน ไม่โรแมนติกเหมือนเรือนไม้ระเบียงกว้างที่อ่าวนวล แต่อ่าวลุงหวังมีสะพานท่าเรือที่สวยงาม ลึกลงไปในทะเล มองเห็นน้ำสีเขียวสด และฝูงปลาสีเงินตัวเล็กฝูงใหญ่ แถมด้วยหมาหน้าไทยๆ อีก 2-3 ตัว

เลียบเขาและบ้านพักทรงสมัยใหม่ไปอีกพอเหนื่อน ก็มาถึงอ่าววงเดือน เราตรงดิ่งไปยังร้านเล็กกๆ ใกล้ที่ทำการเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อาจจะเพราะรู้สึกคุ้นเคยและเป็นกันเองกับร้านอาคารไม้เล็กๆ ทาสีขาวสะอาด คราวก่อนเราก็จ่ายเงินค่าชุดว่ายน้ำและเบียร์ให้ป้าไป ปัจจุบันป้าไม่ขายของแล้ว หลายชายวัยหนุ่มรับหน้าที่ขายแทน
แต่ ร้านของเราไม่มีขนมปัง มีเพียงกาแฟขวดเล็ก เราก็เลยได้เพียงกาแฟ และนมสด พ่วงด้วยบะหมี่สำเร็จรูปถุงเบ้อเร่อ ก่อนที่เราจะแวะไปกินข้าวที่ร้านอาหารใกล้ๆ เป็นร้านอาหารสไตล์หรู อาหารที่วงเดือนราคาไม่แพง อาจจะเพราะมีคนมาเที่ยวเยอะ และมีเรือประจำอ่าว ขึ้นขนของสะดวก
อิ่มท้อง คณะเราจึงถือโอกาสปูผ้าที่ใต้ต้นไม้ท้ายอ่าว ในขณะที่อีกสองคน ยอมเดินไปที่อ่าวแสงเทียน ตามหาขนมปัง



เบียร์ เป็นของแกล้มอากาศริมทะเล ไม่นาน นักตามหาขนมปังก็กลับมาพร้อมขนมปัง 2 ถุง ในราคาแพงสุดๆ ห่อละ 40 บาท (คุ้มมั้ยเนี่ย) พร้อมด้วยน้ำตาลก้อน กล่องละ 25 บาท ครีมเทียม ถุงเล็ก 20 บาท ฝ่ายรอคอยกซัดไปแล้ว 2 ขวดเล็ก ขณะนอนเล่น เพื่อนสาวบ้านใกล้เราก็เดินผ่านมา แต่เธอมากันแค่ 3 คน เราทักทายกันด้วยรอยยิ้ม
บ่ายนั้นเรานอนแช่ทราย จนเคลิ้ม ใกล้หลับก็ลงเล่นน้ำทะเล
เย็น จึงค่อยเดินกลับอ่าวนวล
เราลงทะเลล้างตัวอีกครั้งที่อ่าวนวล



จากการตะเวนวันนี้ เราพบว่า อ่าวนวล เป็นอ่าวที่น้ำใสสะอาดที่สุด อ่าวทับทิม ที่หาดมีทางน้ำเน่าๆ ออกมาจากบ้านพักหรู ไหลลงทะเล ในขณะที่เจ้าของกิจการร้านค้าบ้านพักก็ทำหน้าตาเฉย เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต่างจากที่อ่าวลุงหวัง ส่วนที่วงเดือนก็เช่นกัน แถมยังมีเรือสปีดโบท จอดระเกะระกะ
เราจึงสรุปกันว่า รุ่งขึ้นจะไม่ไปไหน นอนเล่นที่บ้านของเรา (อ่าวนวล) ดีที่สุด

3.

วันต่อมา
เราออกมาดูพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ดวงสีแดงไข่เค็มลอยขึ้นมาจากทะเล แสงค่อยๆ จ้าขึ้นๆ จนแผดแรง เรากลับเข้าบ้าน ปล่อยตัวเอกเขนกอีกครั้ง หนังสือเปิดอ่านกันไปคนละเกินครึ่งเล่ม ต่างคนต่างอ่าน ขวดเบียร์เพิ่มขึ้นๆ




เรา นอน อ่านหนังสือ กินไข่ปิ้ง กินไข่ทรงเครื่อง กินส้มตำ แกล้มแอลกอฮอล์ กาแฟ และแซนวิช ร้อนๆ ก็เล่นน้ำทะเล


สังเกตเพื่อนบ้านพบว่า หญิงสาวสามคนเกาะกลุ่มกันเที่ยวเล่น เล่นน้ำ ในขณะที่อีกคนแยกออกจากเพื่อน ไปพักกับฝรั่งหน้าจืด สไตล์ผู้ดีอังกฤษ ที่กล่าวหาว่าหมอนั่นเป็นผู้ดี ก็เพราะตอนเล่นน้ำ หมอนั่นไม่ยอมถอดเสื้อยืดเบียร์ช้างออกจากตัวเลย ขณะหญิงสาวสวมทูพีซ และถูกสั่งให้สวมกางเกงนอนขาสั้นทับจีสตริงไว้
เรามองวิถีของหญิงสาวคนนั้นอย่างไม่ผิดจากความคาดหมาย ลักษณะ ท่าทางของเธอทำให้คิดได้อย่างนั้นมาตั้งแต่แรก เมื่อตอนนั่งรถรับจ้างมาพร้อมกัน เราสังเกตเห็นที่ข้อมือของเธอมีรอยแสตมป์สีน้ำเงินจางๆ เราเดาว่าเธอคนไปเที่ยวกลางคืนที่ไหนมาก่อนจะหอบสังขารโรยล้ามาเสม็ด ครั้งเมื่อมาถึงทะเล ชุดว่ายน้ำทูพีซ จีสตริงของเธอก็ชวนให้เราคิดไปทางเดียว
ตกเย็นเพื่อนๆ ของเธอเดินทางกลับ พร้อมโบกมืออำลา ในขณะที่เธอยังพักอยู่กับฝรั่งผู้ดี ที่บ้านบนเนินเขา คืนนี้เรากินไปกินข้าวที่ทับทิมอีกครั้ง

4.



รุ่งขึ้น เราพบว่าขวดเบียร์ กองมากมายจนเราขำ แต่ก็ไม่ได้ลดสปีดการดื่ม เพียงแต่ทำให้สบายๆ ลงเท่านั้น แทนที่หญิงสาวสี่คน บ้านสยามมีคู่รัก ทอมหนุ่มดี้สาวสวยมากๆ มาแทนตั้งแต่เมื่อวานเย็น ส่วนบ้านที่เยื้องขึ้นไปบนเขาใกล้บ้านเราอีกด้าน มีหญิงสาวหน้าตาดี ที่ยังถือหนังสือกวดวิชา (ชี้ทติว นี่มีสถาบันไหนมั่งที่มี) มากับฝรั่งหน้าตาละม้ายคล้ายแบรด พิทช์ ที่ถูกทุบหัวจนหน้าย่นไปเล็กน้อย นี่อีกคน หญิงสาวที่มากับฝรั่ง

บ่ายนั้น หญิงสาว ที่มากับเพื่อนสามคนที่กลับไปแล้ว เอ่ยปากทักทายชายหนุ่มกลุ่มเรา ที่เดินไปหยิบเบียรที่ร้านพี่ติ๋ว
“พี่ยังเป็นนักศึกษาอยู่รึเปล่า”
ชายหนุ่มจะหัวเราะแล้วตอบว่า “พี่สามสิบสามแล้วน้อง”
เธอถามกลับซื่อๆ ว่า “พี่รู้ใช่มั้ย ว่าหนูทำอะไร”
“ก็รู้อยู่แล้ว” เขาตอบ
บทสนทนาอย่างจริงจังก็เริ่มต้นขึ้น หญิงสาวบอกว่า เธออายุ 25 เป็นคนจังหวัดสุรินทร์ เธอเรียน รามคำแหง เอกภาษาอังกฤษ เรียนไม่จบสักที จึงต้องมาทำงานแบบนี้
“พี่ว่าอนาคตหนูควรจะทำยังไง” จู่ๆ เธอก็ขอความเห็นจากเขา
“ก็อยากทำอะไรก็ทำไป ถ้าคิดว่ามันยังดีกับตัวเอง ถ้ามันไม่ดีแล้ว ก็เปลี่ยน” เขาตอบ
หยิบเบียร์ รอบหลัง เธอบอกว่า “หนูจะกลับวันนี้แล้วนะ”
เขาได้คุยกับฝรั่งคู่ควงของเธอ ยืนยันสมมติฐานว่า หมอนั่นเป็นคนอังกฤษจริงๆ (ว่ะ)
เราไม่ได้โบกมือให้เธอเพราะไม่รู้ว่าเธอแอบเดินกลับไปทางไหน แต่ฉันจำแววตาของเธอได้ดี แววตาที่เคยเห็นมาก่อนของเพื่อนคนหนึ่งของฉัน หญิงสาวที่ทำงานแบบเดียวกัน วันนี้เพื่อนนั้นไม่ได้อยู่ที่เมืองไทยอีกต่อไปแล้ว นี่อาจเป็นความฝันสำเร็จรูปของหญิงไทยที่ทำอาชีพแบบนี้

คืนนี้ เป็นคืนสุดท้ายที่เสม็ด เราเลือกกินอาหารค่ำที่ร้านพี่ติ๋ว ก่อนจะเดินกลับมาปูผ้านอนดูดาวริมทะเล แกล้มด้วยเบียร์ จากด้านหาดทับทิม และด้านอ่าวลุงหวัง มีการปล่อยโคมเล็กๆ จึงมีดวงไฟมาจากทั้งสองฟากลอยขึ้นไปหาดวงจันทร์ ใกล้จะลอยกระทง พระจันทร์เกือบจะเต็มดวง ส่องสว่างจนแทบไม่เห็นแสงดาว

5.

เช้านี้เรานอนมองทะเล เป็นการอำลาอ่าวนวล เก็บขวดเบียร์ให้เป็นระเบียบ นับขวดเล็กได้ 26 ขวด ขวดใหญ่อีก 9 ขวด แถมด้วยบาร์คาดี 1 ขวด และ ไวตามิลค์ 1 ขวด
หนังสือที่พกมา อ่านจบไปแล้ว เป็นความสำเร็จเล็กๆ ของคนพักผ่อน
“แล้วจะมาอีกนะ”
เราบอกกับทะเล