งานมหกรรมหนังสือคราวนี้พบกับ
เหมือนฟ้ามีพระอาทิตย์สองดวง นวนิยายเรื่องใหม่จากชมัยภร แสงกระจ่าง
หนา 336 หน้า ราคาปก 245 บาท
ราคาพิเศษในงาน 195 บาท เท่านั้น
ลองอ่านที่มาที่ไปจากคุณชมัยภร
และอ่านคำนิยมจาก อาจารย์สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์ ค่ะ
เหมือนฟ้ามีพระอาทิตย์สองดวง
จากชมัยภร แสงกระจ่าง
เมื่อเขียนนวนิยายหลายเรื่องขึ้น การขึ้นต้นเขียนเรื่องใหม่ทุกครั้งจึงเป็นกังวลใจ เพราะต้องถามตัวเองกลับไปกลับมา ซ้ำไปซ้ำมาว่า เราอยากจะเขียนเรื่องอะไร และเรื่องที่เราจะเขียนนั้นเรารู้ดีที่สุดหรือเปล่า เมื่อจะเขียน เหมือนฟ้ามีพระอาทิตย์สองดวง ก็เช่นเดียวกัน ดิฉันถามตัวเองว่า เราอยากเขียนเรื่องอะไร พลันนั้น ภาพของลูกสาวเพื่อนกวีคนหนึ่งในวงการก็ปรากฏขึ้น เธอมาหาดิฉันโดยที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน เธอบอกว่า ดิฉันเขียนบทวิจารณ์งานของพ่อเธอ แต่เธอกับพ่อไม่เคยเจอกันมาก่อนจนพ่อตายจาก ดิฉันรู้สึกสะเทือนใจ จากนั้นเราก็รู้จักกันมากขึ้น ดิฉันกลายเป็นที่ปรึกษาของเธอบางเวลา หลังจากนั้น เธอก็แสดงความมุ่งมั่นอยากเขียนเรื่องของเธอกับพ่อ ขณะนั้น เธอกำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย ดิฉันก็ยุบอกให้เขียน จนกระทั่งเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และเรียนจบมหาวิทยาลัย เวลาผ่านไปเกินห้าปี เธอก็ยังไม่ได้เขียน และสังเกตว่าความสนใจเรื่องการเขียนถึงพ่อของเธอเริ่มน้อยลง ดิฉันจึงนำเอาเรื่องของพ่อลูกทีไม่รู้จักกันมาผูกเป็นโครงเรื่อง และนำเอารายละเอียดอื่น ๆ ที่ผ่านพบมาในชีวิตมาใส่ไว้ โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องของเธอแต่ประการใด
เผอิญว่าเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมือง และกวี ดิฉันจึงนำเอาเรื่องการเมือง กวีและเรื่องครอบครัวมาใส่ไว้ด้วยกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นครั้งแรกด้วยที่ดิฉันทดลองใส่บทกวีลงไปในนวนิยาย โดยเขียนขึ้นเองทั้งหมด และในตอนจบ ดิฉันได้นำเรื่องไปสู่การลงเอยก่อนที่การเมืองจริงจะขยายตัวสาหัสสากรรจ์ในเวลาต่อมา
เมื่อเริ่มเขียน น้องชายคนหนึ่งในแวดวงวรรณกรรม ซึ่งเรียนมาทางด้านวิทยาศาสตร์เคยล้อเมื่อเห็นชื่อเรื่องว่า พี่ครับ ถ้าฟ้ามีพระอาทิตย์สองดวงจริง โลกก็ไม่เหลือนะครับ ซึ่งในความเป็นจริงก็เกือบจะเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับดิฉัน โลกในจินตนาการ ฟ้ามีพระอาทิตย์สองดวงจริง และก็ไม่ไหม้ด้วย เพราะการมีพระอาทิตย์สองดวงในฟ้าแห่งชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือนอกบ้าน เป็นเรื่องยุ่งยากก็จริง แต่ความเข้าใจชีวิต การให้อภัย และความเมตตาจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านพ้นไปได้
ฟ้าจึงมีพระอาทิตย์สองดวงได้ด้วยประการฉะนี้
ชมัยภร แสงกระจ่าง
๑๗ กันยายน ๒๕๕๒
พระจันทร์เพียงหนึ่งดวง
จาก สุวรรณา เกรียงไกรเพ็ชร์
ชมัยภรที่รัก
เธอเป็นนักเล่าเรื่อง ไม่สำคัญว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่มาจากตัวเธอเอง มาจากครอบครัว เครือญาติ หรือเพื่อนพ้องน้องพี่ แต่เมื่อเรื่องนั้นผ่านมาทางเธอ มันก็จะไม่เป็นเพียงเรื่องเล่าอีกเรื่องหนึ่ง หากจะกลายเป็นเรื่องของชีวิต ของชุมชน ของสังคม ของโลก ไม่ว่าคนที่อ่านเรื่องของเธอจะคิดอย่างนั้นหรือไม่ แต่เชื่อว่าเขาจะ รู้สึก ได้แน่นอน ทว่าอาจรู้สึกได้มากบ้างน้อยบ้าง ต่างกันไปตามประสบการณ์ร่วมในชีวิตของแต่ละคน ซึ่งเธอก็คงไม่พะวงกังวลในข้อนั้น เธอเพียงแต่เล่าเรื่องที่อยากเล่าและต้องเล่าให้ได้
เรื่องที่เธอเล่ามักจะดำเนินไปอย่างง่ายๆ เหมือนเล่านิทาน ผู้คนในเรื่องเหล่านั้นดูเหมือนว่าอยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง อาจเป็นคนในครอบครัว เป็นคนที่เรารู้จัก เป็นคนที่ทำงานร่วมกับเรา อยู่ในหมู่บ้านเดียวกับเรา หรืออาจเป็นคนที่เดินผ่านเราไปที่ป้ายรถเมล์ บ้างก็เป็นคนที่เรารัก บ้างเป็นคนที่เราเบื่อ และบ้างก็เป็นคนที่เราสงสัย อยากรู้ให้ลึกลงไปกว่าที่มองเห็นด้วยตา หรือบางทีเราก็สงสัยว่า นั่นใช่ตัวเราเองหรือเปล่านะ นั่นใช่เพื่อนของเราหรือเปล่า นั่นเป็นบ้านของเราใช่ไหม และนี่เป็นเมืองของเราเองละมัง หรือว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริงที่เล่าสู่กันฟังระหว่างคนรู้จักคุ้นเคย
แต่ที่แน่นอนก็คือ เมื่อเธอเล่าเรื่องอย่างง่ายๆ ไม่ได้แปลว่าเรื่องที่เล่าง่ายๆ นั้นปราศจากกลวิธี มันอาจเป็นกลวิธีที่เนียนเสียจนมองเกือบไม่เห็น หรืออาจเป็นกลวิธีที่ซึมซาบอยู่ในตัวผู้คนทั้งหลาย ซึ่งถ้ามิใช่นักเล่าเรื่อง ก็เป็นนักฟังเรื่องเล่าอยู่เองโดยธรรมชาติ ดังนั้น แม้ตัวเธอเองก็อาจอธิบายไม่ได้ว่ากำลังใช้กลวิธีอย่างไร เพราะมันกลายเป็น กลวิธีธรรมชาติ ของเธอไปแล้ว
เมื่อเธอเล่าเรื่องของ นับไท สร้างสูงเนิน ด้วยการใช้สรรพนาม ฉัน นั่นอาจไม่ได้หมายความว่าเธอกำลังเล่าเรื่องของตัวเอง และอาจไม่ได้กำลังเล่าเรื่องของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ นับไทอาจเป็นใครสักคนหรือหลายๆคนรวมกัน ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองร้อนระอุด้วยพระอาทิตย์สองดวงที่ส่องแสงแรงกล้า มิใช่ อาทิตย์ยามอุทัย ที่งดงามตรึงตา และไม่รู้ว่าดวงใดเป็นดวงที่เราควรจะเลือกไว้ ไม่รู้ว่าดวงไหนเป็นพระอาทิตย์แปลกปลอม หรือว่าทั้งสองดวงนั้นล้วนเป็นพระอาทิตย์ที่แท้จริง แต่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปกับพระอาทิตย์ทั้งสองดวงพร้อมๆกันได้หรือไม่ คำถามท้ายสุดนี้อาจเป็นของผู้คนทั้งหลายในสังคม พระอาทิตย์สองดวง ในความเป็นจริงของปัจจุบัน
เรื่องราวของนับไทอาจทำให้เราอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปในวันเวลาที่ผ่านเลยไปแล้ว ย้อนกลับไปในความทรงจำที่ยังผุดโผล่อยู่วับแวมในช่วงชีวิตปัจจุบัน การรับรู้ ความเข้าใจและไม่เข้าใจที่มาจากมุมมองอันแตกต่างหลากหลาย บทกวีที่เคยทรงพลัง กระจ่างชัดในช่วงสมัยหนึ่ง อาจกลายเป็นปัญหาของการตีความที่แตกต่างกัน ความเชื่อมั่นและแรงศรัทธาต่อผู้นำทางความคิดในช่วงเวลาหนึ่ง อาจกลายเป็นคำถามที่ค้างคาใจ ในความคลุมเคลือและความเปลี่ยนแปลงอย่างเกินคาดเกินเข้าใจ แต่ไม่เกินวิสัยของมนุษย์ที่อุดมด้วยกิเลส
บางขณะดูเหมือนเราจะลืมไปแล้วว่าเราเคยรู้อะไร หรือเคยเข้าใจว่าอย่างไร เราอาจไม่สนใจที่จะจดจำเรื่องราวเหล่านั้นต่อไปแล้ว หรือยิ่งกว่านั้น เราอาจแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ยังดำเนินอยู่ในปัจจุบันของเรา แต่อันที่จริงเราย่อมไม่มีวันลบสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วให้หายไปได้อย่างหมดจด
เรื่องราวของชีวิตผู้คนย่อมซ้อนทับอยู่กับชีวิตของบ้านเมือง หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่ง ชีวิตและลมหายใจของบ้านเมืองย่อมมาจากลมหายใจของผู้คนในบ้านและเมืองนั้นๆเอง การซึมซับรับรู้เรื่องราวและความรู้สึกนึกคิดของผู้คน จึงเป็นที่มาของการเรียนรู้ความเป็นไปในเบื้องลึกของบ้านเมืองในแง่หนึ่ง การค้นหาคำตอบต่อข้อสงสัยของคนคนหนึ่ง อาจเป็นคำตอบร่วมของผู้คนในสังคมก็เป็นได้
ชมัยภรที่รัก
เหมือนฟ้ามีพระอาทิตย์สองดวง ไม่ใช่นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ และเธออาจไม่สนใจด้วยซ้ำไปว่านวนิยายของเธอจะสะท้อนภาพสังคมหรือไม่ แต่เชื่อว่า เธอคงได้ใช้เวลาช่วงหนึ่งที่ยาวนานมิใช่น้อย เพื่อครุ่นคิดพินิจนึก ย้อนกลับไปค้นหาในความทรงจำและอารมณ์สะเทือนใจของตนเอง เพื่อกรองกลั่นออกมาเป็นความทรงจำและอารมณ์ที่ตกผลึกแล้ว ผ่านสาวน้อยนับไทผู้เรียนรู้ชีวิตของตนเอง เรียนรู้ปัญหาของครอบครัว ปัญหาของปัจเจกชน พร้อมๆกับที่ได้เรียนรู้ชีวิตและปัญหาของสังคม
นับไทเติบโตขึ้นเป็นลำดับผ่านความสับสนวุ่นวายเหล่านั้น ชีวิตของเธอยังไม่ได้จบลง คำถามอีกมากมายยังรออยู่ข้างหน้า เช่นเดียวกับชีวิตของสังคมที่ยังคงดำเนินต่อไป พร้อมกับปัญหาอีกมากมายที่ยังไม่ได้ตอบ แต่ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะต้องทุกข์ทนหม่นหมองด้วยการแบกรับคำถามที่ยังไม่ได้ตอบเหล่านี้
เธอได้ตระหนักรู้ว่า ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไปและเราคงต้องก้าวไปอย่างระมัดระวัง และพระจันทร์เพียงหนึ่งดวงที่เรามีอยู่ ก็อาจจะทำให้ชีวิตของเราสงบเย็นเป็นสุขได้ แม้ว่าจะร้อนสักเพียงใดก็ตามในสังคมพระอาทิตย์สองดวง
มิถุนายน ๒๕๕๒
หาซื้อได้ที่บู๊ธ M32 โซน ซี1 ชั้นล่าง
แผนที่คลิก http://13.229.56.161/memberpic/anat131009map_c1.jpg
งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 14
ระยะเวลาการจัดงาน
รวมทั้งสิ้น 11 วัน คือ
วันพฤหัสบดีที่ 15 วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม 2552
เวลา 10.00-21.00 น.
พิธีเปิด
วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2551 เวลา 16.00 น. ณ เวทีฮอลล์เอ
ประธานพิธีเปิด
ฯพณฯ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกรัฐมนตรี